วันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ฤกษ์ออกรถ สิงหาคม 2560

ฤกษ์ออกรถ2560
            ฤกษ์ออกรถ ดูฤกษ์ออกรถประจำเดือนสิงหาคม ฤกษ์ดีออกรถปี 2560 ในปีนี้ใครที่กำลังวางแผนจะออกรถใหม่ อย่ารอช้า ! มาดูฤกษ์ดี ๆ สำหรับออกรถตลอดกันเลย...
          รวมฤกษ์ดี ๆ สำหรับออกรถใหม่ป้ายแดง ในปี 2560 หากใครที่กำลังวางแผนที่จะซื้อรถใหม่ เพื่อความโชคดีและเป็นสิริมงคล วันนี้กระปุกดอทคอมมีฤกษ์ดี ๆ สำหรับออกรถตลอดทั้งปี โดย อ.เก่ง ชนกันต์ จากเว็บไซต์ Horoworld.com  มาฝากกันแล้ว ชอบฤกษ์ไหน เดือนไหน วันไหน ก็เลือกเอาไปใช้ได้ตามสะดวกกันเลย...
ฤกษ์ออกรถเดือนสิงหาคม 2560
วันพุธ วันที่ 2, 9, 16 เวลาสตาร์ทกุญแจ 16.19 น. (ห้ามคนเกิดวันเสาร์)
วันพฤหัสฯ วันที่ 3, 10, 17 เวลาสตาร์ทกุญแจ 09.59 น. (ห้ามคนเกิดวันพุธกลางคืน)
วันศุกร์ วันที่ 4, 11, 18 เวลาสตาร์ทกุญแจ 08.29 น. (ห้ามคนเกิดวันอาทิตย์)
วันอาทิตย์ วันที่ 6, 13, 20 เวลาสตาร์ทกุญแจ 09.59 น. (ห้ามคนเกิดวันจันทร์)
วันอังคาร วันที่ 22, 29 เวลาสตาร์ทกุญแจ 10.19 น. (ห้ามคนเกิดวันพุธ)
วันพุธ วันที่ 23, 30 เวลาสตาร์ทกุญแจ 16.19 น. (ห้ามคนเกิดวันเสาร์)
วันพฤหัสฯ วันที่ 24, 31 เวลาสตาร์ทกุญแจ 12.59 น. (ห้ามคนเกิดวันพุธกลางคืน)
วันศุกร์ วันที่ 25 เวลาสตาร์ทกุญแจ 12.19 น. (ห้ามคนเกิดวันอาทิตย์)
*** หมายเหตุ วันพุธกลางวัน คือ เกิดช่วงเวลา 06.00–18.00 น. วันพุธกลางคืน คือ เกิดช่วงเวลา 18.00–06.00 น. ***
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก  http://www.mitsupatapeethong.com/


ห้องโดยสารสกปรก ส่งผลร้ายมากกว่าที่คุณคิด



ห้องโดยสารสกปรก ส่งผลอย่างไรต่อสุขภาพนะ (ยานยนต์)
ห้องโดยสารรถยนต์เมื่อผ่านการใช้งานไปสักระยะหนึ่ง ย่อมต้องมีสิ่งสกปรกเกิดขึ้น ทั้งบริเวณเบาะนั่ง คอนโซล แพงประตู ฯลฯ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ และเป็นหน้าที่โดยปกติเช่นกันที่เจ้าของรถจะต้องทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ
แต่ถึงกระนั้นผู้ที่ใช้รถทุกวันจะให้มานั่งเช็ดถูทำความสะอาดอยู่บ่อย ๆ ก็คงไม่มีเวลา (บางท่านนาน ๆ กว่าจะล้างรถสักที) หรือแม้แต่พฤติกรรมของคนที่ไม่ใส่ใจรักษาความสะอาดปล่อยให้ฝุ่นจับหนาหรือมีกลิ่นอับ ท่านเหล่านั้น จะทราบหรือไม่ว่า...สิ่งสกปรกที่สัมผัสหรือที่เห็นอยู่รอบตัวในห้องโดยสารสามารถส่งผลเสียต่อสุภาพของผู้โดยสารมากกว่าที่คิด
สิ่งสกปรกที่จะอยู่ในห้องโดยสารหลัก ๆ แล้วก็คือ "ฝุ่น" เกิดขึ้นได้ง่ายจากการเล็ดลอดมาทางระบบปรับอากาศ หรือแค่เพียงเปิดประตู หน้าต่าง ด้วยขนาดที่เล็กมาก ๆ จึงไม่ใช่เรื่องยากที่ฝุ่นจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในห้องโดยสาร และเจ้าฝุ่นที่ว่านี้ ไม่ได้มาแค่เพียงหนึ่งเดียว ยังพาเพื่อนตัวน้อย ๆ ติดสอยห้อยตามมาด้วย ท่านทั้งหลายพอจะเดาออกมั้ยครับว่าฝุ่นมากับใคร? ถ้ายังคิดไม่ออก บอกให้เลยก็ได้ว่า มากับ "ไรฝุ่น" ไงครับ...!!!

ตัวไรฝุ่น
"ไรฝุ่น" มันคืออะไร? ใช่แล้ว มันคือสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง ดูจากชื่อแล้วไม่น่าจะมีพิษสงอะไร แต่ที่ไหนได้ สำหรับคนที่เป็นภูมิแพ้ มันคือของแสลงที่สุด ไรฝุ่นเป็นสัตว์ที่มีขนาดเล็กมากจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น เป็นสัตว์จำพวกแมลงแต่มีลักษณะคล้ายกับแมงมุมเห็บ หมัด มีขา 8 ขา ขนาดของไรฝุ่นจะวัดได้ 1 ส่วน 100 ของความยาวที่เป็นนิ้ว ซึ่งเทียบแล้วคือเล็กกว่าหัวปากกาลูกลื่นที่จุดลงบนกระดาษเสียอีก อาหารของไรฝุ่น คือ เซลล์ผิวหนังของคนและสัตว์เลี้ยงที่หลุดลอกออกมา
ผิวหนังของคนนั้นโดยทั่วไปจะหลุดลอกวันละประมาณ 1.5 กรัม ซึ่งเป็นปริมาณที่มากพอที่จะเลี้ยงตัวไรฝุ่นให้เจริญเติบได้เป็นอย่างดี นอกจากอาหารที่ได้จากคน ไรฝุ่นยังอาศัยพวกใยผ้าและขนสัตว์กินเป็นอาหารได้ด้วย ไรฝุ่นมีตา หายใจทางผิวหนัง ไรฝุ่นชอบอยู่ในที่อุ่น ขึ้น และเต็มไปด้วยฝุ่นละออง เช่น หมอนที่นอน พรม และเฟอร์นิเจอร์ผ้า เป็นสถานที่เหมาะที่สุดสำหรับครอบครัวไรฝุ่น
ภายในห้องโดยสาร วัสดุที่ทำจากผ้าไม่ว่าจะเป็นเบาะนั่งกำมะหยี่ ผ้าบุแผงประตู เพดานห้องโดยสาร ฯลฯ จุดด่าง ๆ เหล่านี้ หากเราปล่อยให้มีสิ่งสกปรกสะสมมาก ๆ เช่น เส้นผม ขนสัตว์ เศษใบไม้ รถของเราก็จะกลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อให้กับ "โรคภูมิแพ้" ไปโดยปริยาย
โดยปกติแล้ว ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมนุษย์มีหน้าที่ที่จะจดจำสิ่งแปลกปลอมที่จะทำร้ายร่างกายของเรา เช่นเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส ฯลฯ โดยการสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นต่อสู้กับเชื้อโรค สำหรับโรคภูมิแพ้นั้น เป็นภาวะที่ภูมิของร่างกายมีปฏิกิริยากับโปรตีนหรือสารก่อภูมิแพ้ Allergen จากสิ่งแวดล้อม
ซึ่งปกติจะไม่มีอันตรายสำหรับผู้ที่ไม่แพ้ หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นโรคที่เกิดจาก "ปฏิกิริยาภูมิไวเกินต่อสารก่อภูมิแพ้" ปฏิกิริยานี้เริ่มเมื่อเราได้รับสารก่อภูมิแพ้ก็จะเกิดการสร้างภูมิที่เรียกว่า IgE Antibody ตัว Antibody นี้จะกระตุ้น Mast Cell ให้มีการหลั่งสาร Histamin ขึ้นที่เนื้อเยื่อต่าง ๆ เช่น ผิวหนัง ปอด จมูก ลำไส้ ทำให้เกิดการอักเสบของอวัยวะ เช่น ลมพิษที่ผิวหนัง คัดจมูกแน่นหน้าอกเนื่องจากหอบหืดบางรายอาจจะรุนแรงถึงกับเสียชีวิตได้ ซึ่งสารก่อภูมิแพ้ที่เป็นตัวแสบอันดับต้น ๆ มีที่มาจาก "ไรฝุ่น" นั่นเอง
สำหรับคำถามที่ว่า "ไรฝุ่นทำให้เกิดภูมิแพ้ได้อย่างไร ?" คำตอบคือ คนที่แพ้ไรฝุ่น หมายถึงคนที่มีปฏิกิริยาต่อโปรตีนในตัวและในมูลของไรฝุ่นที่ตายแล้ว โปรตีนดังกล่าวจะมีผลเสียต่อทางเดินหายใจทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจอักเสบ และโรคหอบหืด อีกทั้งยังทำให้คนที่มีแนวโน้มจะเป็นโรคผิวหนังอักเสบมีอาการของโรคมากขึ้น
ซึ่งตัวไรฝุ่นที่ตายแล้วจะมีโปรตีนจำนวนมาก เมื่อเราสูดลมหายใจ หรือผิวหนังของเราสัมผัสกับตัวไรฝุ่นที่ตาย ร่างกายองเราก็จะสร้างภูมิต้านทานขึ้นมา ภูมิต้านทานนี้จะปล่อยสารเคมี ซึ่งทำให้เกิดการบวมและการระคายเคืองของทางเดินหายใจตอนต้น นั่นก็คืออาการของโรคทางเดินหายใจอักเสบ และโรคหอบหืด ที่สำคัญคือ โรคภูมิแพ้สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้อีกด้วย
วิธีที่จะป้องกันไรฝุ่นได้ในระดับหนึ่ง นอกเหนือจากการทำความสะอาดผิวสัมผัสต่าง ๆ ในห้องโดยสารแล้ว ยังต้องทำความสะอาดดูแลรักษาระบบปรับอากาศในรถยนต์ด้วย โดยเฉพาะตู้แอร์ ที่ใครหลายคนบอกว่า "มันคือแหล่งซ่องสุมเชื้อโรค" ไรฝุ่น เชื้อรา แบคทีเรีย ยุ่บยั่บไปหมด
บริการคาร์แคร์ต่าง ๆ หรือร้านแอร์จึงต้องมีบริการล้างตู้แอร์และฆ่าเชื้อโรคเหล่นี้ ปีละ 1 ครั้งก็ยังดี เพราะฝุ่นจากภายนอกจะเข้ามาในระบบปรับอากาศทุกครั้งที่เปิดแอร์ เมื่อฝุ่นละอองมาเกาะอยู่ตามแผงคอยล์เย็นในตู้แอร์ ทุกครั้งที่เปิดแอร์ ลมก็จะพัดเอาฝุ่นเล็ก ๆ เข้ามาในตัวรถ ยิ่งนั่งอยู่ในรถนาน ๆ ก็ยิ่งสุดฝุ่นสะสมเข้าไปในร่างกายมากขึ้น รวมทั้งสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดกลิ่นอับ โรคภูมิแพ้หวัดเรื้อรัง
เชื้อราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ชอบความชื้นเป็นพิเศษ วันไหนรถเจอน้ำเจอฝน ลืมปิดกระจก รถมีรอยรั่วซึมจนน้ำเล็ดลอดเข้ามาสร้างความชื้นสะสมได้ หรือการขับรถลุยน้ำ ก็จะต้องโดนความชื้น และตามมาด้วยเชื้อราถ้าไม่รับทำความสะอาด
การกำจัดเชื้อราสำหรับพื้นที่ที่อากาศถ่ายเทได้สะดวกไม่ยากอะไร ไล่ความชื้นตากแดดปล่อยให้ลมโกรกหลังทำความสะอาด เท่านี้ก็ไล่เจ้าตัวร้ายไปได้ แต่ถ้าเป็นในห้องโดยสารรถยนต์ที่มีซอกมุม ต้องถอดรื้อออกมาทำความสะอาดกันยกใหญ่
ยิ่งในกรณีของรถที่ได้รับความชื้นนาน ๆ อาจมีเชื้อราขึ้นตามเบาะ เพดานหลังคา พรมปูพื้น ช่องเก็บของท้ายรถ วัสดุหุ้มพวงมาลัย คอนโซล และที่มองไม่เห็นคือในระบบปรับอากาศ วิธีกำจัดเชื้อราในรถยนต์ที่จะนำมาบอกกล่าวกินในวันนี้ คือ การใช้น้ำส้มสายชูกลั่นชนิดใสไม่มีสี (อย่าใช้น้ำส้มสายชูกลั่นชนิดใสไม่มีสี (อย่าใช้น้ำส้มสายชูปลอม) ซึ่งมีกรดอะซิดิกหรือกรดน้ำส้มประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ นำมาใส่ในกระบอกฉีดพ่นละอองน้ำที่สะอาดจอดรถในที่โล่งห่างไกลคน และมีการระบายอากาศที่ดีเปิดประตูออกทั้งหมด
ขณะทำความสะอาดให้สวมหน้ากากกันฝุ่นชนิดที่กรองสปอร์ของเชื้อรา ฉีดพ่นสเปรย์น้ำส้มสายชูไปตามบริเวณที่มีราขึ้นภายในรถ ฉีดให้ทั่วแล้วทิ้งไว้ ต้องระวังอย่าสูดดม หรือให้ปลิวเข้าตา ความเป็นกรดของน้ำส้มสายชูจะฆ่าเชื้อรา และจะระเหยหมดไปเองโดยไม่มีสารตกค้าง เมื่อระเหยหมดแล้วอาจฉีดสเปรย์ซ้ำอีกรอบเพื่อให้มั่นใจว่าฆ่าเชื้อราได้อย่างสิ้นซาก!!! ถ้าเห็นว่ามีคราบเชื้อราที่ตายแล้วติดอยู่ตามพื้นผิวก็ใช้ผ้าชุบน้ำยาทำความสะอาดเช็ดออกและทิ้งผ้านั้นไป ถ้าเป็นเผ้ากำมะหยี่อาจต้องใช้แปรงพลาสติคขัดและใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดออก ควรสวมหน้ากากกันฝุ่นตลอดเวลา เพราะเศษซากของเชื้อราที่ตายแล้วถ้าหายใจเข้าไปก็อาจทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ได้
หลังจากจัดการเรียบร้อยแล้ว ช่วงแรกนี้ให้หมั่นตรวจสอบว่ามีความชื้น หรือเชื้อราเกิดขึ้นที่อื่นที่มองไม่เห็นหรือไม่ เพราะความชื้นจะค่อย ๆ ออกมา เชื้อราจะใช้เวลา 24-50 ชั่วโมงในการเจริญเติบโต ถ้าขึ้นอีกให้ทำซ้ำในวิธีการเดิม ในช่วงนี้อาจจะต้องนำรถไปจอดตากแดดเพื่อไล่ความชื้นอาจใช้ไดร์เป่าผมช่วยเป่าอีกแรง สำหรับการทำความสะอาดวัสดุที่ผิวแข็ง
สุดท้ายสิ่งสกปรกในรถยนต์ ใช้ว่าจะมีเพียงแต่ตาเห็น! หรือมองไม่เห็นใช่จะหมายความว่าไม่มี ทางที่ดีป้องกันไว้ หมั่นทำความสะอาดภายในห้องโดยสาร อย่าให้ความสำคัญกับความสวยงามภายนอกเพียงอย่างเดียวเพราะมันอาจหมายความถึงโรคหรืออาการทรมานไม่มีที่สิ้นสุด
ทั้งหมดที่ว่ามาหากขี้เกียจ ไม่มีอารมณ์ หรือไม่มีเวลา คงต้องพึ่งศูนย์บริการด้านคาร์แคร์แล้วล่ะครับ

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก  http://www.mitsupatapeethong.com/

วิธีดับกลิ่นในรถ ทำอย่างไรดี

รถยนต์มีกลิ่นอับ
วิธีกำจัดกลิ่นอับในรถ
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
รถยนต์มีกลิ่นอับ วิธีกำจัดกลิ่นอับในรถ สาเหตุพร้อมกลเม็ดพิชิตกลิ่นอับในรถ
ย่างเข้าหน้าฝนรถยนต์ของหลาย ๆ ท่านเริ่มมีกลิ่นอับในรถยนต์ถามหา เมื่อต้องขับขี่รถยนต์ที่มีกลิ่นอับ ประสบการณ์กานเดินทางอันไม่น่าอภิรมณ์ก็จะเริ่มต้นขึ้น แล้วถ้ายิ่งมีแขกมาโดยสารรถยนต์ร่วมด้วยเป็นเรื่องที่น่าอับอายอีกต่างหาก
ทั้งนี้กลิ่นอับมีวิธีแก้มากมายหลายแบบ แต่กระปุกคาร์อยากให้ทุกท่านลองทำความรู้จักกับต้นตอปัญหาและสาเหตุเพื่อที่จะเป็นการป้องกันได้ถูกวิธีไม่ต้องมานั่งแก้ไขกันบ่อย ๆ
 กลิ่นอับเกิดจากอะไร ?
กลิ่นอับนั้นเกิดขึ้นจากการสะสมเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งจะเติบโตได้ดีเมื่อมีความชื้นที่เหมาะสม เพราะฉะนั้นอยากกำจัดกลิ่นอับให้หายขาดก็ต้องฆ่าเชื้อ
ต้นตอของกลิ่นอับ แบ่งออกได้เป็น 2 ที่ใหญ่ ๆ คือกลิ่นอับจากแอร์ และกลิ่นอับจากห้องโดยสาร
กลิ่นอับจากแอร์
 วิธีกำจัดกลิ่นอับจากแอร์
ปิดระบบน้ำยาแอร์ (ปุ่ม A/C) แล้วเปิดพัดลมแอร์ให้สุดเพื่อไล่ความชื้นออกให้หมด หลังจากนั้นนำรถไปจอดตากแดดสัก 3 ชม. แล้วจอดตากแดดแบบเปิดหน้าต่างให้ระบายสัก 1 ชม. กลิ่นอับก็จะหายไป
หากว่ากลิ่นยังคงอยู่ ต้องล้างด้วยโฟมล้างแอร์ซึ่งยังพอสามารถทำเองได้ แต่หากไม่หายอีก สุดท้ายคงต้องพึ่งช่างถอดล้างตู้แอร์
กลิ่นอับจากห้องโดยสาร
 วิธีกำจัดกลิ่นอับจากห้องโดยสาร
ห้องสารจะมีกลิ่นอับมากพิเศษในช่วงหน้าฝน เพราะความชื้นจากรองเท้าหรือการลุยฝนเข้ารถ ป้องกันความชื้นโดยการเตรียมผ้าแห้งไว้ในรถสำหรับเช็ดน้ำ เมื่อลงจากรถก็นำผ้าที่เช็ดน้ำออกไปด้วย
ถ้าหากห้องโดยสารแห้งสนิท แต่ยังมีกลิ่นก็ถึงเวลาที่ต้องทำความสะอาดใหญ่ โดยใช้น้ำยาทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของสารฆ่าเชื้อโรคชุบผ้าหมาด ๆ เช็ดให้ทั่วรวมถึงพื้นห้องโดยสารที่สักหลาดและเพดานด้วย จากนั้นก็นำรถไปตากแดดเช่นเดียวกับการกำจัดกลิ่นในแอร์
 และเมื่อหน้าฝนต้องลุยน้ำบ่อย ๆ ตัวช่วยที่ลดกลิ่นอับได้ดีมีดังนี้
ใบชาแห้ง
ภาพจาก gourmet
 ใบชาแห้ง ห่อผ้าแล้ววางไว้ในรถส่วนจำนวนที่ใช้ก็ตามความแรงของกลิ่นอับ หรือใช้ชาซองสำเร็จรูปก็ได้
 ถ่านไม้ ห่อผ้าแล้ววางไว้ในรถ เดี๋ยวนี้มีแบบสำเร็จรูปที่แพ็คเกจสวยงามจำหน่ายด้วย
 กากกาแฟตากแห้ง นำมาห่อผ้าไว้ในรถ หาซื้อได้ตามร้านกาแฟหรือบางร้านอาจให้ฟรี ๆ ด้วย อย่าลืมมาทำให้แห้งก่อน ได้ของแถมคือกลิ่นกาแฟอ่อน ๆ ด้วย
  ที่สำคัญอย่าใช้พวกน้ำหอมกลบกลิ่นอับ เพราะมันทำให้กลิ่นผสมปนเปจนเวียนหัวยิ่งกว่าเก่า (หากใครเคยมีประสบการณ์ก็คงจะทราบดี) และทั้งหมดนี้เพื่อให้หน้าฝนไม่มีกลิ่นอับมากวนใจ คืนเวลาขับรถอันแสนสุขให้กลับคืนมาได้แน่นอนครับ

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก  http://www.mitsupatapeethong.com/

เตรียมสภาพรถในหน้าฝน

เตรียมสภาพรถในหน้าฝน
เตรียมสภาพรถในหน้าฝน
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก ซิตี้ ออโต้โมบิล
การขับรถช่วงฤดูฝนต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ ด้วยทัศนวิสัยและถนนหนทางที่ลื่นกว่าปรกติ แต่ใช่ว่าขับดีอย่างเดียวก็ไม่เกิดอุบัติเหตุ เรื่องอุปกรณ์และสถาพรถยนต์ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญเช่นกัน
วันนี้กระปุกคาร์นำวิธีเตรียมสภาพรถในหน้าฝนจาก ซิตี้ ออโต้โมบิล ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์จากัวร์และแลนด์โรเวอร์ ประเทศไทย มาฝากให้ไปดูแลรถยนต์ของท่านครับ
เตรียมสภาพรถในหน้าฝน
ที่ปัดน้ำฝน
ตรวจสภาพของที่ปัดน้ำฝนให้อยู่ในสภาพดี ควรใช้น้ำส้มสายชูชุบผ้าสะอาดเช็ดบริเวณเส้นยางของที่ปัดน้ำฝนเป็นครั้งคราว เพื่อลดคราบสิ่งสกปรก และหากเส้นยางที่ปัดน้ำฝนเสื่อมสภาพ ควรเปลี่ยนใหม่
เตรียมสภาพรถในหน้าฝน
ระบบไฟส่องสว่าง

ดูแลระบบไฟส่องสว่างให้สามารถใช้งานได้ดีอยู่เสมอ เพราะการเปิดไฟในขณะฝนตกหนักจะช่วยให้มองเห็นเส้นทางได้ชัดเจนและเป็นการส่งสัญญาณแก่เพื่อนร่วมทางของท่าน
ยางรถยนต์
ยางรถยนต์
เลือกใช้ชนิดดอกยางละเอียดและเติมลมยางให้มีแรงดันลมมากกว่าปกติ 2-3 ปอนด์/ตารางนิ้ว หรือ 0.1-0.2 บาร์ เพื่อให้หน้ายางแข็งและรีดน้ำได้ดียิ่งขึ้น และควรเตรียมยางสำรองไว้ทุกครั้งที่เดินทาง
เตรียมสภาพรถในหน้าฝน
แบตเตอรี่
ตรวจดูแบตเตอรี่ที่ตาแมวเช็กความปรกติ ตรวจดูน้ำกลั่นอย่างสม่ำเสมอ เพราะในเวลากลางคืนที่ฝนตกหนัก รถยนต์จะใช้ไฟฟ้ามากกว่าปกติ
หลอดไฟ
อุปกรณ์ประดับยนต์

หากเป็นไปได้ควรเตรียมอะไหล่ขนาดเล็ก อาทิ ฟิวส์หรือหลอดไฟ ติดรถไว้เสมอเพราะในกรณีที่อุปกรณ์เหล่านี้เสียระหว่างการเดินทาง ท่านสามารถนำรถไปซ่อมที่ร้าน สามารถเปลี่ยนอุปกรณ์เหล่านี้ได้ในทันที
เพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น อุปกรณ์สมบูรณ์พร้อมใช้งาน รับรองว่าการขับรถหน้าฝนนี้มั่นใจปลอดภัยแน่นอนครับ 

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก  http://www.mitsupatapeethong.com/

รวมกลเม็ด เคล็ดลับ ดูแลภายในรถหลังจากไปเที่ยว

วิธีดูแลภายในรถยนต์
รวมกลเม็ด เคล็ดลับ ดูแลภายในรถหลังจากไปเที่ยว
เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือยานยนต์
หลังจากออกเดินทางท่องเที่ยว ผ่านการใช้รถยนต์อย่างหนักหน่วงย่อมมีคราบสกปรกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การใช้บริการทำความสะอาดรถบางครั้งก็ทำไม่ได้ดั่งใจ แถมกลัวภายในรถเสียหาย ส่วนจะไปที่ร้านมาตรฐานสูงก็ราคาแพงหูฉี่
วันนี้เราจึงนำวิธีทำความสะอาดภายในรถจาก หนังสือยานยนต์มาบอกต่อทั้งได้ใช้เวลาว่างและยังได้ความสะอาดตามใจเราด้วย
วิธีดูแลภายในรถยนต์
 ชิ้นส่วนภายใน
พวกชิ้นส่วนต่าง ๆ ภายในรถที่เป็นพลาสติก ไวนิลหรือหนังเทียม ผ้าบุหลังคา กระจกของไฟ กระจกปิดแผงหน้าปัด ตลอดจะชิ้นส่วนที่มีการพ่นหรือเคลือบเอาไว้ด้วยสีดำด้าน ควรได้รับการดูแลทำความสะอาดเป็นประจำ โดยการใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำหมาด ๆ เช็ดถู และหากเป็นไปได้ควรใช้พวกผลิตภัณฑ์ดูแลรักษาพลาสติก และสำหรับส่วนที่เป็นช่องเป่าลมแอร์ หากมีฝุ่นเกาะตามซอกเล็ก ๆ ซึ่งยากต่อการทำความสะอาด จะสามารถกำจัดเจ้าฝุ่นละอองเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น โดยการใช้พวกแปรงไฟฟ้าสถิตที่สามารถดูดฝุ่นละอองได้
ห้ามใช้น้ำกับบริเวณเบาะนั่งหรือส่วนที่เป็นผ้าบุหลังคาจนเปียกชุ่มควรใช้เฉพาะเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ตลอดจนห้ามใช้สารที่มีคุณสมบัติเป็นตัวทำละลายกับชิ้นส่วนต่าง ๆ ภายในรถ เช่น พวกไนโตรทินเนอร์ แอลกอฮอล์ น้ำมันเบ็นซิน หรือน้ำมันดีเซล เป็นต้น ซึ่งอาจจะสร้างความเสียหายให้กับชิ้นส่วน ไม่ว่าจะเป็นการละลายสีหรือแล็กเกอร์ที่เคลือบไว้ ทำให้เกิดเป็นรอยด่าง ซีดจาง หรือหลุดลอก และอาจทำให้ชิ้นส่วนนั้น ๆ ละลาย บิดเบี้ยว เสียรูปทรงได้ หากพบว่ามีร่องรอยสกปรก ให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ด หรือใช้น้ำยาสำหรับทำความสะอาดวัสดุนั้น ๆ โดยเฉพาะ อาจจะต้องลงทุนกันหน่อยแต่ก็คุ้ม
บรรดาอุปกรณ์วัสดุที่เป็นยาง นอกจากใช้น้ำในการทำความสะอาดแล้ว ควรใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลรักษายาง และพวกสเปรย์ซิลิโคนเท่านั้น ซึ่งนอกจากทำความสะอาดแล้วยังช่วยรักษายางให้คงสภาพไว้
แผงลายไม้ส่วนที่เป็นไม้ ไม่ว่าจะเป็นไม้จริง หรือทำจากพวกเรชิ่นก็ตาม ควรเช็ดถูทำความสะอาดด้วยผ้าชุบน้ำหมาด ๆ จากนั้นให้เช็ดแห้งด้วยผ้านุ่มอีกผืน
ผ้ายางปูพื้น หรือพรมสกปรกมาก สามารถทำความสะอาดได้ จากการใช้น้ำยาทำความสะอาดโดยไม่ต้องถอดรื้อออกมา ถึงกระนั้นถ้าการถอดยางปูพื้นหรือพรมออกมาจากรถสามารถกระทำได้ไม่ยุ่งยากแล้ว ก็ควรรื้อออกมาทำความสะอาดนอกรถ เพื่อให้ทำความสะอาดได้ทั่วถึงมากขึ้น และควรนำผ้ายางปูพื้นออกมาสลัดฝุ่นทิ้ง และดูดฝุ่นที่พรมปูพื้นเป็นประจำ ซึ่งจะช่วยให้ปริมาณฝุ่นในรถมีน้อยลง ทั้งยังเป็นการช่วยยืดอายุการใช้งานของคอยล์เย็นเครื่องปรับอากาศ ไม่ให้เกิดการอุดตันเร็วนัก ยืดระยะเวลาในการล้างตู้แอร์ให้ยาวนานออกไป
วิธีดูแลภายในรถยนต์
 เข็มขัดนิรภัย
เข็ดขัดนิรภัยเมื่อผ่านการใช้งานไประยะหนึ่งย่อมเกิดการสกปรก ซึ่งเกิดจากฝุ่นหรือขี้มือของนั่นแหละ บางทีก็เกิดจากช่างที่ขับรถเราแล้วใช้มือเลอะน้ำมัน ไปจับถูกสายเข็มขัดนิรภัยพอเราคาดเข็มขัดนิรภัย ก็เลยทำให้เอเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปด้วย ยิ่งเป็นเสื้อสีขาวหรือสีอ่อนจะเห็นร่องรอยคราบเปื้อนได้ชัดเจน เราจึงควรทำความสะอาดเข็มขัดนิรภัยกันบ้าง
สำหรับวิธีทำความสะอาดเข็มขัดนิรภัยอย่างถูกต้อง ให้ใช้เพียงแค่น้ำสบู่อ่อนเท่านั้นเอง แล้วหลังจากทำความสะอาดก็ไม่ต้องล้างออกด้วย แค่เช็ดให้แห้งก็พอ ห้ามใช้พวกน้ำยาซักแห้งหรือพวกน้ำยาเคมีต่าง ๆ เพราะจะทำให้ใยของสายเข็มขัดนิรภัยเปื่อยยุ่ยได้ และเมื่อทำความสะอาดเรียบร้อย อย่าเพิ่งปล่อยให้รอกม้วนกลับของสายเข็ดขัดนิรภัยดึงกลับ จนกว่าจะแน่ใจว่าสายเข็มขัดนิรภัยแห้งดีแล้ว ทั้งนี้เนื่องมาจากสิ่งสกปรกบนสายเข็มขัดนิรภัย อาจแทรกเข้าไปในการทำงานของรอก และทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบการทำงานของเข็มขัดนิรภัย
 เบาะนั่ง
วัสดุที่ใช้หุ้มเบาะนั่งเท่าที่นิยมใช้กันแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ พวกไวนิลหรือหนังเทียม ผ้า และหนังแท้ ซึ่งการใช้งานนั้นอาจจะใช้วัสดุประเภทเดียวกันทั้งคัน หรือบางทีก็ใช้ผสมปะปนกันไป เช่น ตัวเบาะแผ่นกลางเป็นผ้า แต่ขอบและหลังเบาะเป็นไวนิล หรือรถบางคันใช้แผ่นหน้าเบาะเป็นหนังแท้ ส่วนด้านข้างและด้านหลังเบาะใช้ไวนิล เพื่อลดต้นทุนการผลิตให้ต่ำลง แต่ก็อย่าดูถูกว่าไวนิลเป็นผลิตภัณฑ์เกรดต่ำพวกไวนิลดี ๆ ประเภทของนอก หรืออย่างเช่น พวก Fabrics ที่มีคุณภาพสูง ราคายังแพงกว่าหนังแท้เกรดต่ำ ๆ ซะอีก
พวกวัสดุต่าง ๆ ที่ใช้หุ้มเบาะนั่งนั้น โดยทั่วไปจะมีคุณลักษณะเฉพาะตัว วิธีการใช้และดูแลรักษาให้อยู่ในสภาพดี มีอายุการใช้งานยืนยาว ไม่เกิดการชำรุดเสียหายก่อนเวลาอันสมควร จึงควรทำความเข้าใจกันเป็นพิเศษ
วิธีดูแลภายในรถยนต์
ภาพจาก autoblog
 เบาะไวนิลหรือหนังเทียม
ระยะหลังนี้พวกไวนิลหรือหนังเทียมล้วน ๆ หาดูได้ค่อนข้างยากในรถเก๋ง เพราะถือว่าเป็นเบาะเกรดต่ำราคาถูก มักมีใช้อยู่ในพวกรถกระบะมากกว่า หรือถ้าอยู่ในรถเก๋งก็จะอยู่ในฐานะตัวประกอบยอดเยี่ยม เช่นใช้อยู่ในส่วนหลังเบาะและด้านข้าง ส่วนแผ่นกลางด้านหน้าจะเป็นผ้าหรือหนังแท้ แต่รถที่ขึ้นชื่อว่าหรูหรา มีรสนิยม และราคาแพง เป็นรถสำหรับคนมีกะตังค์ บางรุ่นเค้าก็ยังใช้ไวนิลหรือหนังเทียมอยู่เลย
การดูแลรักษาพวกเบาะไวนิลนั้นไม่ค่อยยุ่งยากเท่าไหร่ เนื่องจากทนทาน สกปรกยาก และทำความสะอาดง่าย ถึงกระนั้นก็ต้องดูกันบ้างเหมือนกัน โดยการดูดฝุ่นเป็นประจำ เพื่อดูดเอาฝุ่นผงและเม็ดทรายที่ติดค้างอยู่บนเบาะนั่งออกไป เนื่องจากเจ้าฝุ่นผงและเม็ดกรวดทราย จะเป็นอันตรายต่อผิวของเบาะ และเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ผ้าเบาะหรือเส้นด้ายที่เย็บตะเข็บเบาะขาดได้
โดยทั่วไปการทำความสะอาดเบาะไวนิลนั้น เพียงผ้าชุบน้ำบิดหมาด ๆ ก็สามารถทำความสะอาดได้แล้ว และถ้าจะให้ดีตามด้วยการดูดฝุ่นเอาเศษผงเศษทรายที่ตกค้างตามร่องและรอยพับออกด้วย แบบนี้ก็ทำให้เบาะไวนิลสะอาดและทนทานไม่ชำรุดเสียหาย แต่เมื่อใช้ไประยะหนึ่งจะเกิดคราบสกปรกเกาะที่ผิวของเบาะ คราวนี้ลำพังผ้าชุบน้ำคงจะไม่สามารถกำจัดออกไปได้ หากพบว่าผิวเบาะหมองคล้ำดูสกปรกไม่สดใส ให้ใช้พวกน้ำยาทำความสะอาดพลาสติกเช็ดถู ก็สามารถเพิ่มความสดใสดูเหมือนของใหม่ได้
วิธีดูแลภายในรถยนต์
 เบาะผ้า
พวกรถที่หุ้มเบาะด้วยผ้ามักเจอะเจอร่องรอยของการกดทับบนผ้าบุที่นั่ง ซึ่งเกิดขึ้นจากการใช้ที่นั่งนั้นเป็นประจำทุกวันลักษณะแบบนี้เราสามารถรักษาให้กลับสู่สภาพเดิมได้ไม่ยากนัก โดยการแปรงสวนทางด้วยแปรงที่ขึ้นหมาด ๆ
พยายามหาเวลาปัดขุยผ้าออกจากเบาะผ้า และขจัดเส้นใยที่ขาด หรือเศษผ้า เป็นประจำ โดยการใช้แปรงหรือลูกกลิ้งสำหรับทำความสะอาด ส่วนพวกถุงมือทำความสะอาด เหมาะที่จะใช้กับขุยที่ติดแน่น และควรทำความสะอาดรอยต่างตลอดจนคราบสกปรกที่เป็นบริเวณกว้างทันที หรืออย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลังจากมีรายการเลอะเทอะเปรอะเปื้อนขึ้นมา โดยการใช้น้ำอุ่นและน้ำยาทำความสะอาดภายในรถ อันเป็นพวกน้ำยาขจัดรอยเปื้อน หรือน้ำมันสำหรับทำความสะอาด หลังจากนั้นควรแปรงผ้าอีกครั้ง เพื่อรักษาสภาพเดิมของเบาะเอาไว้
วิธีดูแลภายในรถยนต์
 เบาะหนัง
เบาะนั่งที่หุ้มด้วยหนังต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างดีและถูกต้อง มิฉะนั้นอาจเกิดการแตกปริ แห้งแข็ง หรือมีเชื้อราเกิดขึ้น ถ้าดูกันอย่างผิวเผินอาจคิดว่าเบาะหนังนั้นดูแลรักษาง่าย เพราะไม่อมฝุ่นและไม่ค่อยเปรอะเปื้อนสกปรก ทำให้เจ้าของรถไม่ค่อยดูแลเอาใจใส่กันมากเท่าที่ควร แต่ความเป็นจริงนั้นเนื่องจากเบาะหนังเป็นวัสดุธรรมชาติการเสียหายและเปลี่ยนสภาพจึงเกิดขึ้นง่ายกว่าพวกวัสดุสังเคราะห์ และเพื่อให้ได้ผลดีในการดูแลรักษาทำความสะอาด จึงจำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์พิเศษที่ใช้กับหนังโดยเฉพาะ
การทำความสะอาดและดูแลรักษาเบาะหนังอย่างสม่ำเสมอนั้น ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นและมีความสำคัญมาก เนื่องจากฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกที่ติดมาจากถนนและจากผู้โดยสาร จะสะสมตัวอยู่ตามซอก รอยพับ รอยย่น ตะเข็บ ตลอดจนเส้นใย ซึ่งมันจะไปกัดผิวหน้าของหนังให้แตกยุ่ยก่อนเวลาอันสมควร โดยเฉพาะเศษกรวดหรือเม็ดทรายที่ติดตัวผู้โดยสารมาหลังจากไปเที่ยวชายทะเล ดังนั้นเมื่อกลับจากการท่องเที่ยวให้รีบทำความสะอาดรถโดยเร็วที่สุด
ในช่วงของการใช้งานตามปกติ อยากแนะนำให้เช็ดฝุ่นออกจากหนังเป็นประจำด้วยผ้า แม้เวลามองด้วยตาจะเห็นว่ามันสะอาดดีแล้วก็ตาม หรือหากใช้เครื่องดูดฝุ่นก็ยิ่งเป็นการดียิ่งขึ้น เพราะมันจะได้ดูดเอาเศษผงและฝุ่นละอองที่ซุกตัวอยู่ตามซอกมุมออกมาได้เกลี้ยงเกลามากขึ้น สำหรับในการทำความสะอาด ถ้าเป็นไปได้ควรใช้โฟมสำหรับทำความสะอาดหนัง ซึ่งมีจำหน่ายตามมุมรถยนต์ในห้างสรรพสินค้าใหญ่ ๆ ทั่วไป
หากพบว่าเกิดมีพวกของเหลวใด ๆ หกรดเบาะอย่าทำเฉย ให้รีบเช็ดออกทันที นอกจากนี้ถ้าเป็นไปได้ควรเต็มน้ำยาขจัดคราบสกปรกในบริเวณที่เปรอะเปื้อน หรือเลอะเทอะไปด้วยคราบน้ำมัน และถ้าหากว่ามีความจำเป็นต้องจอดรถตากแดดแรง ๆ เป็นเวลานาน ๆ ควรหาอะไรมาคลุมเบาะที่นั่งเอาไว้ หรือมีแผ่นบังกระจก เพื่อไม่ให้แสงแดดส่องถูกเบาะที่นั่งอย่างเต็มที่ ป้องกันไม่ให้สีเบาะซีดจางหรือกรอบแห้ง
ผิวของแผ่นหนังนั้นจะมีรูเล็ก ๆ ที่ตาเปล่ามองไม่เห็น แต่พวกสิ่งสกปรก น้ำ และน้ำมันสามารถแทรกซึมผ่านรวมทั้งฝังตัวเกาะแน่นได้ หากเป็นสิ่งสกปรกบางอย่างอาจก่อให้เกิดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ได้ในภายหน้า หากมีการปล่อยทิ้งไว้ให้หมักหมมอยู่นาน ๆ และการกำจัดกลิ่นนี้ก็ทำได้ยากซะด้วย ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันเอาไว้ก่อนล่วงหน้า จึงควรใช้พวกผลิตภัณฑ์รักษาหนังหนัง หรือพวกสารเคลือบหนังป้องกันน้ำ โดยเฉพาะบางชนิดสามารถป้องกันการเกิดประจุไฟฟ้าสถิตได้ด้วยยิ่งดีใหญ่ แบบนี้จะสามารถช่วยลดปริมาณฝุ่นเกาะให้น้อยลง อย่างไรก็ตามพวกสารทำความสะอาดต่าง ๆ เหล่านี้ อาจมีส่วนผสมของสารที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ซึ่งบางคนอาจจะเกิดอาการแพ้ขึ้นมาได้ ดังนั้นจึงควรปฏิบัติตามข้อควรระวังและคำเตือนที่อยู่ข้างกล่องหรือภาชนะบรรจุ สำหรับรถที่ใช้งานกันตามปกติ การดูแลรักษาเบาะหนังโดยการเคลือบควรกระทำทุก ๆ 6 เดือน หรือหลังจากการทำความสะอาดด้วยน้ำยาทำความสะอาดหนัง เมื่อเบาะเกิดการเปรอะเปื้อนสิ่งสกปรก

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก  http://www.mitsupatapeethong.com/

วันพฤหัสบดีที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

5 สิ่งของอันตราย ที่ไม่ควรจัดเก็บไว้ในรถ​


5 สิ่งของอันตรายที่ไม่ควรจัดเก็บไว้ใ​นรถยนต์ ย่างเข้าสู่หน้าร้อน ปภ. ออกเตือน ​5 สิ่งของอันตราย​ หากอยู่​ในห้องโดยสาร​รถยนต์ เสี่ยงอันตรายร้ายแรง
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กล่าวว่า ผู้ขับขี่ส่วนใหญ่​ มักจัดเก็บสิ่งของต่าง ๆ ไว้ในห้องโดยสารรถยนต์ โดยเฉพาะสิ่งของอันตราย หากจัดเก็บไม่ถูกวิธี เมื่อได้รับความร้อนอาจทำให้เกิดระเบิด หรือเพลิงไหม้ ก่อให้เกิดอันตรายได้ เพื่อความปลอดภัย กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ขอเตือนสิ่งของอันตรายที่ไม่ควรจัดเก็บในห้องโดยสาร ดังนี้
- ไฟแช็ก

lighter
หากถูกแสงแดดกระทบเป็นเวลานาน จะทำให้เกิดการระเบิด ที่อาจส่งผลให้กระจกรถยนต์แตกร้าว หากวางไว้บนคอนโซลรถ จะเสี่ยงต่อการเกิดเพลิงไหม้
- กระป๋องสเปรย์
เมื่อถูกความร้อนจะทำให้วัตถุ สารเคมี และแก๊สในกระป๋องขยายตัว จึงเกิดประกายไฟหรือระเบิดได้
- แบตเตอรี่สำรอง

ของที่ไม่ควรเก็บไว้ในรถ
สารลิเธียมในแบตเตอรี่สำรองเป็นโลหะที่ไวต่อปฏิกิริยาทางเคมี เมื่อได้รับความร้อน อาจทำให้เกิดการลัดวงจร ส่งผลให้เกิดการระเบิดได้
- โทรศัพท์มือถือ

ของที่ไม่ควรเก็บไว้ในรถ
ความร้อนทำให้วงจรภายในโทรศัพท์ได้รับความเสียหาย และแบตเตอรี่โทรศัพท์เกิดการระเบิด โดยเฉพาะหากเปิดใช้งาน จะทำให้ความร้อนสูงขึ้น จึงเสี่ยงต่อการระเบิดได้
- น้ำแข็งแห้ง
เมื่อน้ำแข็งแห้งระเหิด จะกลายเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ทำให้ผู้ที่อยู่ในห้องโดยสารหมดสติ เพื่อความปลอดภัย ควรเก็บไว้ในภาชนะที่มีช่องระบายอากาศ แยกจากห้องโดยสารรถยนต์ หากเก็บในห้องโดยสาร ควรเปิดกระจกรถ เพื่อระบายอากาศออกสู่ภายนอก
ทั้งนี้ สิ่งของหลายประเภทไม่ควรนำมาเก็บไว้ ในห้องโดยสารรถยนต์ เพราะนอกจากจะทำให้สิ่งของเสียหายแล้ว ยังทำให้ผู้ที่อยู่ในห้องโดยสารเสี่ยงต่อการได้รับอันตรายอีกด้วย

เรื่องที่เกี่ยวข้อง
จะร้อนไปไหน ! โซเชียลสหรัฐฯ แชร์ภาพหน้าร้อนสุดโหด ทำเอากำแพงถึงกับละลาย
สัญญาณโลกร้อน วอลรัสนับหมื่นเกยตื้นเกลื่อนหาดอะแลสกา
รัฐบาลอิรักประกาศหยุดราชการ 4 วันรวด หลังเจอคลื่นความร้อนทะลุ 50 องศา
ปากีสถานอ่วมหนัก ยอดผู้เสียชีวิตจากคลื่นความร้อนพุ่ง 300 ราย

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก  http://www.mitsupatapeethong.com/

7 อุปกรณ์ของรถที่ควรหมั่นตรวจเช็ก ลดเสี่ยงอันตรายร้ายแรงได้

อุปกรณ์ของรถที่ควรหมั่นตรวจเช็ก
7 อุปกรณ์ของรถที่ควรหมั่นตรวจเช็ก ลดเสี่ยงอันตรายร้ายแรงได้​ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยย้ำเรื่องตรวจสอบอาการผิดปกติของอุปกรณ์ประจำรถ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) แนะผู้ขับขี่หมั่นสังเกตและตรวจสอบอาการผิดปกติของอุปกรณ์ประจำรถ​อันได้แก่​ ยางรถยนต์ เครื่องยนต์ พวงมาลัย เกียร์ คลัตช์ เบรก
พร้อมนำรถไปตรวจสอบสภาพตามระยะทางที่กำหนดจากศูนย์บริการ ช่วยยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ประจำรถ และลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุที่มีสาเหตุจากความบกพร่องของอุปกรณ์ดังนี้
ยางรถยนต์

อุปกรณ์ของรถที่ควรหมั่นตรวจเช็ก
- บริเวณกลางล้อสึกหรอมากกว่าขอบยาง แสดงว่า เติมลมยางมากเกินไป
- ดอกยางขอบล้อสึกหรอมากกว่าตรงกลาง แสดงว่า เติมลมยางน้อยเกินไป
- ดอกยางสึกหรอข้างใดข้างหนึ่ง แสดงว่า มุมแนวตั้งของยางไม่ตรง
- ดอกยางเป็นบั้ง ๆ แสดงว่า แนวของยางไม่ขนานกับแนวการเคลื่อนตัวของรถ
- ยางหน้าหรือยางหลังสึกเร็วกว่าปกติ แสดงว่า เกิดจากการบรรทุกน้ำหนักมากเกินไป
เครื่องยนต์

อุปกรณ์ของรถที่ควรหมั่นตรวจเช็ก
เครื่องยนต์ร้อนจัด แม้เป็นการเดินทางในระยะใกล้​ ​ๆ  ​หรือเข็มวัดระดับความร้อนอยู่ที่ตัว H เครื่องยนต์เย็นเกินไป มาตรวัดอุณหภูมิไม่ขึ้นแม้จะขับรถในระยะทางไกล แสดงว่าผิดปรกติ ที่ถูกต้องต้องอยู่ตรงกลางเท่านั้น
พวงมาลัย

อุปกรณ์ของรถที่ควรหมั่นตรวจเช็ก
บังคับทิศทางได้ยาก โดยเฉพาะขณะเลี้ยวต้องใช้แรงมากกว่าปกติ พวงมาลัยหลวม และมีอาการสั่นขณะขับ หากพวงมาลัยชำรุด จะทำให้อุปกรณ์อื่น​ ​ๆ มีปัญหาตามไปด้วย​ ​อาทิ ยางเฟืองท้าย
เกียร์

อุปกรณ์ของรถที่ควรหมั่นตรวจเช็ก
มีเสียงดัง แม้จะอยู่ในเกียร์ว่างหรือเข้าเกียร์ใดเกียร์หนึ่ง ขณะเหยียบคลัตช์แล้วเปลี่ยนเกียร์ยาก ทำงานผิดปกติ มีอาการติดขัดขณะเข้าเกียร์ ใช้เวลาในการเปลี่ยนเกียร์นานกว่าปกติ มีน้ำมันหล่อลื่น​ ไหลออกมาจากห้องเกียร์ และหากเกียร์ทำงานผิดปกติ จะส่งผลให้รอบเครื่องยนต์ไม่สอดคล้องกับระดับความเร็วของรถ
คลัตช์ (เฉพาะรถเกียร์ธรรมดา)

อุปกรณ์ของรถที่ควรหมั่นตรวจเช็ก
คลัตช์ลื่น เข้าคลัตช์ไม่สนิท เหยียบแป้นคลัตช์แล้วยังเข้าเกียร์ได้ยาก มีเสียงดังและมีอาการสั่นในขณะขับรถ หากคลัตช์มีปัญหาจะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการควบคุมเกียร์
เบรก

อุปกรณ์ของรถที่ควรหมั่นตรวจเช็ก
มีเสียงดังขณะเหยียบเบรก เบรกแล้วรถปัดไปข้างใดข้างหนึ่ง หรือเบรกลื่นจนไม่สามารถหยุดรถได้ แป้นเบรกจมลึกลงไปทั้งที่ถอนเท้าออกจากแป้นเบรกแล้ว ระดับความเร็วคงที่เมื่อเหยียบแป้นเบรก โดยเฉพาะหากเบรกมีอาการผิดปกติหรือชำรุด จะไม่สามารถหยุดรถได้ในระยะที่ปลอดภัย
สัญลักษณ์ไฟ

อุปกรณ์ของรถที่ควรหมั่นตรวจเช็ก
มีไฟรูปสัญลักษณ์ใดค้างบนหน้าปัด แสดงว่า เกิดความผิดปกติกับอุปกรณ์ที่แสดงสัญลักษณ์ดังกล่าว ไฟสัญลักษณ์ไม่สว่างหรือไม่ดับ อาจเกิดจาก ไดชาร์จทำงานผิดปกติ หรือระบบไฟฟ้าขัดข้อง ทุกครั้งที่สตาร์ทเครื่องยนต์จะมีสัญลักษณ์ไฟแสดงสถานะปรากฏบนแผงหน้าปัด เมื่อสตาร์ทรถติดแล้วสัญญาณไฟสัญลักษณ์ต่าง ๆ จะต้องดับลง
          ทั้งนี้ หากสังเกตพบรถมีอาการผิดปกติ ผู้ขับขี่ควรนำรถ เข้าศูนย์บริการหรืออู่ซ่อมรถ เพื่อตรวจสอบสภาพรถและหาสาเหตุความผิดปกติของอุปกรณ์ประจำรถ และเครื่องยนต์  พร้อมซ่อมแซมอุปกรณ์ที่ชำรุดให้ทำงานได้ตามปกติ ไม่ควรฝืนนำรถไปใช้งาน เพราะอาจเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุรุนแรงได้ครับ

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก  http://www.mitsupatapeethong.com/

7 อุปกรณ์ที่ควรมีติดรถ หากคุณรักการลุยออฟโรด

          7  อุปกรณ์ที่ควรมีติดรถ  ​ไป​ลุยออฟโรด แนะนำ 7 อุปกรณ์ที่ควรมีติดรถ สำหรับลุยออฟโรด            ​การขับขี่ออฟโรด นั้นหมายถึงเส้...